ค้นพบ ‘ยาเพร็พ’ ต้านเชื้อเอชไอวี กินก่อนไปสัมผัส1สัปดาห์
ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีเฮ ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ค้นพบวิธีระงับเชื้อไวรัสตัวร้ายในร่างกายให้เหลือน้อยลงจนไม่สามารถตรวจพบ และไม่ติดต่อสู่คู่นอน รวมถึงพบ “เพร็พ” ยาคุมหยุดเชื้อเอชไอวี ล่วงหน้าก่อนไปมีเพศสัมพันธ์ ป้องกันเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ชี้คาดว่าในปี 2573 ลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้แน่นอน
ข่าวดีสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและคนในกลุ่ม เสี่ยงติดเชื้อร้าย ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.หลังได้รับการเปิดเผยจาก นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผอ.ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ว่า ในประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีชีวิตอยู่ 6 แสนคน ตั้งแต่ปี 2553-2560 ผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ยังคงที่ประมาณ 7,000 คนต่อปี โดยแยกกลุ่มชายรักชาย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่มากที่สุดถึงร้อยละ 50 ขณะที่กลุ่มชายรักหญิงที่มีผลเลือดต่าง หรือผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีถ่ายทอดสู่ผู้ไม่มีเชื้อ คิดเป็นร้อยละ 30 กลุ่มหญิงขายบริการร้อยละ 10 และกลุ่มชายขายบริการ ที่คิดเป็นร้อยละ 10 เช่นกัน ดังนั้น กลุ่มที่น่าเป็นห่วง คือ ชายรักชาย จากการสำรวจในพื้นที่กรุงเทพฯพบ 3 ใน 4 คน จะมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี 1 ราย ส่วนชายรักหญิงจาก 200 คน มีผู้ติดเชื้อ 1 คน แต่ตัวเลขเสียชีวิตกลับผิดปกติเพิ่มขึ้น คือ 13,000 รายต่อปี จาก 3,500-4,000 รายต่อปี อาจเกิดจากบุคคลมีความเสี่ยงไม่ไปตรวจเลือด ทำให้ไม่ทราบว่าติดเชื้อ หรือผู้ที่ติดเชื้อไม่เข้ารับยาต้านไวรัส เพราะอับอายเกรงว่าสังคมรังเกียจ ส่งผลให้เสียชีวิตเร็วขึ้น ขณะที่ระบบการบริการเข้าถึงทุกสิทธิรับยาฟรี ที่มีเพียงพอไม่ต้องรอคิว เพราะยาต้านไวรัสเอชไอวีมีทั้งนำเข้าจากต่างประเทศราคาถูก และองค์การเภสัชกรรมผลิตเองได้นำมาบริการแจกให้กับผู้ป่วยฟรี ส่วนที่นิยมใช้ในประเทศไทย คือ ยาทีเวียร์ นำมาจากประเทศอินเดีย
นพ.ประพันธ์กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญเมื่อปี 2555 มีการค้นคว้าพบว่า ยาต้านไวรัสเอชไอวีสามารถระงับเชื้อในร่างกายให้เหลือน้อยลง ไม่ทำร้ายภูมิคุ้มกัน และไม่ติดต่อแพร่เชื้อสู่คู่นอนได้ โดยมีการศึกษากับผู้ที่ติดเชื้อ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ผู้ติดเชื้อแล้วรักษาด้วยยาต้านเอดส์ทันที 1,000 คน กลุ่มที่ 2 รอให้ผู้ติดเชื้อมีภูมิคุ้มกันต่ำก่อนให้ยา 1,000 คน และติดตามคู่นอนบุคคลเหล่านี้ เป็นเวลา 2 ปี ปรากฏว่าคู่นอนผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ให้ยาทันที มีติดเชื้อ 1 ราย ส่วนคู่นอนของผู้ติดเชื้อแล้วรอจนภูมิคุ้มกันต่ำถึงให้ยา มีติดเชื้อ 20 ราย นอกจากนี้ยังศึกษากับผู้ติดเชื้อที่กินยาต้านไวรัสมาตลอดจำนวน 4,000 คน ทุกคนมีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกันเป็นระยะ 2 ปี พบว่า คู่นอนไม่ติดเชื้อ และผลตรวจเลือดผู้ที่ติดเชื้อเดิม ไม่พบมีเชื้อเอชไอวีในเลือด ดังนั้น ในเดือน ก.ย.2560 มีการสรุปศึกษาการใช้ยาต้านไวรัสกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี พบว่ายาต้านไวรัสระงับเชื้อให้เหลือน้อย ทำให้ตรวจเลือดไม่พบเชื้อ และควบคุมการแพร่เชื้อต่อบุคคลอื่นได้ แต่อย่างไรก็ตาม การกินยาไม่ใช่รักษาให้หายขาด ผู้มีเชื้อ HIV ยังคงมีเชื้อตลอด หากหยุดกินยาเชื้อก็กลับมาเช่นเดิม
ผอ.ศูนย์วิจัยโรคเอดส์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ได้ร่วมศึกษาวิจัยกับองค์กรทั่วโลกของการระงับแพร่เชื้อของรายใหม่ พบว่า ยาเพร็พ (PrEP=Pre-Exposure Prophylaxis) เป็นยาต้านไวรัสล่วงหน้ากับคนมีพฤติกรรมเสี่ยงก่อนจะไปสัมผัสกับเชื้อ 1 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ทุกกลุ่มเสี่ยง ทั้งชายรักชาย ชายรักหญิง รวมถึงหญิงรักหญิง หากกินยาต่อเนื่องป้องกันได้เกือบ 100% จากการที่ยาไปสะสมอยู่ตามเนื้อเยื้อในร่างกายส่วนที่เป็นทางเข้าของเชื้อเอชไอวี เช่น บริเวณทวารหนักของผู้ชาย หรือทางช่องคลอดของผู้หญิง เมื่อเชื้อเข้ามาจะถูกยาควบคุมฆ่าทำลายทันที จึงไม่ติดเชื้อเข้าสู่ร่างกาย สำหรับยาเพร็พไม่มีความแตกต่างไปจากยาต้านไวรัสเอชไอวีทั่วไปและเป็นยาชนิดเดียวกัน โดยนำเอายาทีเวียร์ ต้านไวรัสเอชไอวี ที่มีตัวยาประกอบอยู่ 3 ชนิดมาผสมกัน คือ ทีโนโฟร์เวียร์ เอฟทีซี และเอฟฟาวีเรนซ์ ส่วนยาเพร็พนำเอายาทีเวียร์มาลดตัวยาลงให้เหลือ 2 ชนิด คือ ทีโนโฟร์เวียร์ผสมกับเอฟทีซี กลายเป็นยาเพร็พ ซึ่งองค์การเภสัชกรรมผลิตเองได้
ผอ.ศูนย์วิจัยโรคเอดส์กล่าวอีกว่า ประเทศไทยนำการใช้ยาเพร็พมาตั้งแต่ปี 2557 แต่ยาเพร็พไม่ได้อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์การรักษา ผู้ต้องการใช้จะต้องออกเงินเอง ราคากล่องละ 600 บาท มี 30เม็ด แต่มีปัญหากับคนบางกลุ่ม เช่น วัยรุ่นยังไม่มีงานทำ ทำให้ไม่มีเงินซื้อยาดังกล่าว ดังนั้น ด้วยพระกรุณาธิคุณ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชา ทินัดดามาตุ จึงทรงมีพระอนุญาตให้ใช้เงินจากกองทุนพระวรราชาทินัดดามาตุ เพื่อช่วยลดการติดเอดส์จากแม่สู่ลูก มาใช้ในการให้ยาเพร็พ เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มเสี่ยง จัดโครงการ “เพร็พ พระองค์โสมฯ” หรือ “Princess PrEP” สามารถขอรับบริการได้ที่ศูนย์สุขภาพชุมชน 7 แห่ง ใน 4 จังหวัดของประเทศไทย หลังดำเนินงานมา 2 ปี มีผู้ได้รับยาเพร็พจากโครงการ “เพร็พ พระองค์โสมฯ” จำนวน 1,500 คน คิดเป็น 1 ใน 3 ของผู้ใช้ทั่วประเทศ และติดตามผู้ที่ใช้เพร็พ อย่างสม่ำเสมอ พบมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ขึ้นมาเพียง 1 ราย แสดงว่ายาได้ผลสูงมาก เพราะปกติคนกลุ่มนี้จะติดเชื้อใหม่ขึ้นมาปีละ 5-6% หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ถ้าไม่ได้ยาเพร็พ ผู้ทานยาเพร็พ 1,500 คนนี้ จะติดเชื้อขึ้นมาปีละ 75-90 คน ดังนั้น ถ้าประเทศไทยมีการขยายการครอบคลุมการใช้ยาเพร็พให้กว้างออกไป ร่วมกับการให้ความรู้ในการป้องกัน การแจกถุงยางอนามัย และการแจกเข็มฉีดยาที่สะอาด พร้อมๆกับมาตรการ “ตรวจเร็ว-รักษาเร็ว” ก็จะยุติการติดเชื้อรายใหม่ การเสียชีวิตและการตีตราผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้ภายในปี 2573 แน่นอน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น