พ่อรวยสอนลูก ย่อให้แล้ว ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อด้วย
ใคร ไม่รู้ใจดีมากๆ ค่ะ ย่อให้แล้วส่งมาให้ฉัน พวกท่านไม่ต้องเสียตังค์ซื้อ ไม่ต้องเสียเวลานั่งอ่านทั้งวัน ถ้าจะจับเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ก็ไปจับคนย่อนะคะ ดิฉันขอตัวก่อนหล่ะ อิอิ
– ความกลัวและความอยาก ทำให้ติดกับดัก
– การใช้ชีวิตอยู่กับความกลัว เป็นสิ่งเลวร้ายมาก เราควรมีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ความฝัน และความสุข – โรงเรียนสอนให้นักเรียนทำงานเพื่อเงิน แต่ไม่เคยสอนวิธีควบคุมอำนาจเงิน
– ต้องนำความกลัว ความโลภ ความต้องการ มาใช้ในการคิดเรียนที่จะควบคุมอารมณ์เหล่านี้
– ความกลัว และความโลภของเรานั้นเองคือตัวอุปสรรค
– ทำงานไม่ใช่ทำเงิน
– คนรวยรู้ว่าเงินนั้น คือภาพลวงตา แต่ความกลัวทำให้เราคิดว่าเงินเป็นของจริง
– การมีเงินมากๆนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการรู้จักวิธีการเก็บมันไว้ให้อยู่กับเราตลอดไป
– อยากรวย ต้องมีความรู้เรื่องการเงิน
– คนรวยเพิ่มทรัพย์สิน คนจนและชนชั้นกลางเพิ่มหนี้สิน โดยคิดว่ามันคือทรัพย์สิน
– ทรัพย์สิน คือเอาเงินใส่กระเปำ หนี้สิน คือเงินออกจากกระเป๋า
– ถ้าคุณอยากยุให้เขาทำอะไร จงพูดว่า “ผมว่าคุณทำไม่ได้”
– คนฉลาดต้องรู้จักจ้างคนฉลาดกว่ามาเป็นลูกจ้าง
– ความลับของคนรวย “ทำธุรกิจของตนเอง”
– กฎข้อที่ 1 คุณต้องรู้ว่า “ทรัพย์สิน” และ “หนี้สิน” ต่างกันอย่างไร
– รากฐานของคนชั้นกลางหรือคนจน ก็คือ กลัว ไม่กล้าเสี่ยง ทำให้ยึดติดอยู่กับเงินเดือน และงานที่ทำอย่างเหนียวแน่นเพราะที่นั้นเขารู้สึกว่า “ปลอดภัย”
– ขอแตกต่างของคนรวยกับคนจนคือ คนรวยซื้อความสบายที่หลัง แต่ชนชั้นกลางกับคนจน มักซื้อความสบายก่อนสิ่งอื่นใด เช่น รถ, บ้านหลังใหญ่
– ถ้าคุณทำงานเพื่อเงิน อำนาจอยู่ในมือนายจ้าง ถ้าคุณใช้เงินทำงาน อำนายอยู่ในมือคุณ
– หลักสำคัญของไหวพริบทางการเงิน
1. ความรู้ทางบัญชี
2. ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
3. ความเข้าใจตลาด
4.ความรู้เรื่องกฎหมาย
– คนรวยที่มีบริษัท
1. รายได้
2. รายจ่าย
3. เสียภาษี
– ลูกจ้างบริษัท
1. รายได้
2. เสียภาษี
3. รายจ่าย – คนรวยส่วนใหญ่ จะเป็นคนที่มีแนวความคิดสร้างสรรค์โดยเฉพาะในการคำนวณความเสี่ยง
– วิกฤติเศรษฐกิจ คือโอกาสของนักลงทุน
– จงสนุกกับมัน เพราะนี้คือเกมเกมหนึ่ง บางเกมคุณชนะ บางเกมคุณแพ้ หลายคนไม่เคยชนะเพราะกลัวที่จะแพ้ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่เห็นด้วยกับหลักสูตรของโรงเรียนสอนว่าการทำผิดเป็น สิ่งไม่ดีนักเรียนจะถูกทำโทษเมื่อกระทำความผิด แต่คุณลองคิดดูซิว่ามนุษย์เรียนจากการกระทำผิดมาโดยตลอด กว่าเราจะเดินได้ต้องล้มไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถ้าเราไม่เคยล้ม เราจะไม่รู้วิธีเดินเลยด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่หลายคนไม่มีโอกาสร่ำรวยเพียงเพราะเขากลัวที่จะล้มเหลว อย่าลืมความพ่ายแพ้ และการล้มเหลว เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ ถ้าคุณหลีกเลี่ยงการล้มเหลว คุณก็หลีกเลี่ยงความสำเร็จด้วย
– มีนักลงทุนอยู่สองประเภท
1. เป็นประเภทที่พบเป็นส่วนใหญ่ คือพวกที่ลงทุนในตลาดที่มีอยู่ได้แก่ พวกขาย อสังหาริมทรัพย์ สิ่งที่ซื้อก็เช่นกันกองทุนรวม หุ้น เป็นการลงทันตรงไปตรงมา คล้ายกับคนที่ไปเดินซื้อ คอมฯ ที่ตั้งโชว์ตามห้าง
2. เป็นพวกชอบสร้างสรรค์ นิยมซื้อส่วนต่างๆมาประกอบเป็น คอมฯ แทนที่จะซื้อเครื่องที่ประกอบแล้ว แต่ผมรู้ว่าอะไรชนอะไรทำให้เกิดโอกาสดีๆประเภทที่สองนี้แหละที่ผมยากให้เป็น นักลงทุนมืออาชีพ อาจใช้เวลาหลายปีกว่าจะประกอบได้สำเร็จ หรืออาจจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เลย พ่อรวยพยายามสอนให้ผมเป็นนักลงทุนประเภทที่สอง เพราะชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ย่อมมาจากความรู้และการฝึกฝนจนชำนาญ มิฉะนั้นคุณอาจพ่ายแพ้ได้เช่นกัน
– ถ้าคุณต้องการเป็นนักลงทุนประเภทสอง คุณต้องมี 3 สิ่ง
1. ทำอย่างไรจึงจะเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น
2. ทำอย่างไรจึงจะได้เงินมาทำทุน
3. ทำอย่างไรจึงจะได้คนฉลาดมาเป็นลูกจ้าง
– สิ่งที่ต้องเรียนรู้มีมากมาย หากคุณไม่ชอบหรือไม่สนใจ ผมขอแนะนำ นักลงทุนประเภทแรกเหมาะกับคุณมากกว่า ความรู้เป็นสมบัติ ความไม่รู้เป็นความเสี่ยง ความเสี่ยงมีอยู่ทั่วไป เรียนรู้ที่จะจัดการกับความเสี่ยงดีกว่าที่จะหลีกเลี่ยงอยู่ร่ำไป
– พ่อรวยของผมแนะนำว่าต้องรู้หลายๆเรื่อง ไม่ต้องละเอียด แต่ต้องหลายเรื่อง
– ความมั่นคงทางการงานสำคัญมากสำหรับพ่อนักวิชาการ แต่สำหรับพ่อรวยความรู้และประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
– พ่อรวยบอกว่าสิ่งที่ยากที่สุดในการบริหารบริษัทคือ การบริหารคน
– “ลูกจ้างทำงานพอที่จะไม่ให้ถูกไล่ออก และนายจ้างก็จ่ายค่าจ้างพอที่จะไม่ให้ลูกจ้างลาออก” เป็นทฤษฎี ผลลัพธ์ก็คือลูกจ้างไม่เคยก้าวไปทางไหนได้ไกล พวกเขาจะติดอยู่กับ “ความมั่นคงของงาน” เงินเดือนและผลตอบแทนซึ่งเป็นเพียงรางวัลระยะสั้น แต่อาจจะเป็นปัญหาระยะยาว ผมอยากแนะนำให้คุณทำงาน เพื่อประสบการณ์ และการเรียนรู้ที่คุณจะได้รับมากกว่าเพื่อผลตอบแทนที่จะได้รับ มองไปข้างหน้าว่าคุณต้องการประสบการณ์เรียนรู้ทักษะด้านไหน อะไรที่จะช่วยให้คุณหลุดออกจากสนามแข่งหนู
– คนจำนวนมากเก่งแต่จน เพราะคนเหล่านี้มุ่งแต่จะฝึกฝนทักษะในการทำแฮมเบอร์เกอร์ โดยไม่สนใจวิธีการขาย และส่งแฮมเบอเกอร์แมคโดนัลอาจไม่ใช่คนทำแฮมเบอร์เกอร์อร่อยที่สุด แต่เขาเป็นคนขายแฮมเบอร์เกอร์รสชาติธรรมดาๆที่เก่งที่สุด
– ทักษะสำคัญสำหรับการบริหารธุระกิจ
1. การบริหารกระแสเงินสด
2. การจัดการระบบ (รวมทั้งการจัดการตัวเองและ เวลาให้ครอบครัว)
3. การบริหารบุคลากร
– ทักษะเฉพาะด้านที่สำคัญในการทำธุรกิจ คือ การขายและความเข้าใจเรื่องการตลาด ความสามารถ ในการขาย นั้นคือ การสื่อสารกับมนุษย์ผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นลูกจ้าง นายจ้าง สามีภรรยา บุตรหลาน ทักษะพื้นฐาน ที่ต้องฝึกให้ชำนาญคือ การสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการพูด เขียน ต่อรอง ล้วนเป็นสิ่งสำคัญและมีผลต่อความสำเร็จ เป็นสิ่งที่ผมพยายามเล่าเรียนและฝึกฝนอยู่เสมอ
– พ่อแนะนำให้เราทำงานกับคนที่ฉลาดกว่า หาคนฉลาดมาร่วมทีมอย่างที่เรียกว่า การประสานทรัพยากรเพื่อประโยชน์รวมกัน
– จงให้แล้วคุณจะได้รับตอบแทน
**อุปสรรคที่ทำให้ไม่ประสพผลสำเร็จ**
1. ต้องเอาชนะความกลัวว่าจะต้องเสียเงิน ผมไม่เคยเจอใครที่ชอบเสียเงิน และผมก็ไม่เคยเจอคนรวยที่ไม่เคยเสียเงิน แต่ผมเคยเจอคนจนที่ไม่ยอมเสียเงินในการลงทุนแม้แต่สตางค์เดียว ทุกคนรวมทั้งคนรวยก็มีความกลัวว่าจะเสียเงินกันทั้งนั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความกลัว แต่ประเด็นคือเราจะจัดการกับความกลัวนี้อย่างไรต่างหากคุณจะจัดการอย่างไร ถ้าต้องเสียเงิน ถ้าต้องล้มเหลว อุกอย่างในชีวิตนั้นแหละครับ ทั้งหมดขึ้นอยู่ว่าคุณจะมีวิธีจัดการอย่างไร คนจนกับคนรวยต่างกันตรงวิธีการจัดการกับความกลัวนี้เอง “ชนะคือการไม่กลัวที่จะแพ้“ “ความพ่ายแพ้มักจะตามมาด้วยชัยชนะ” ผมไม่เคยเจอนักกอล์ฟที่ไม่เคยเสียลูกกอล์ฟ หรือคนมีความรักที่ไม่เคยอกหัก และไม่เคยเจอคนรวยที่ไม่เคยเสียเงิน เพราะฉะนั้นสำหรับหลายๆคนที่ไม่รวยอาจเป็นเพราะความเจ็บปวดจากการสูญเสีย เงินที่เขาได้รับมีมากกว่าความสุขจากความร่ำรวย “ทุกคนอยากไปสวรรค์แต่ไม่มีใครอยากตาย” คนส่วนมากฝันถึงเงินล้าน แต่กลัวที่จะสูญเสียเงิน เขาเหล่านั้นจึงไม่โอกาสไปถึงสวรรค์
2. ขจัดความคิดด้านลบ คนจำนวนมากพกแต่ความคิดด้านลบ แท้จริงแล้วทุกคนมี “ความคิดด้านลบ” อยู่ในตัวกันคนละนิดละหน่อย โดยเฉพาะในยามที่เรากลัวหรือไม่มีความมั่นใจ ประเด็นที่ต้องการชี้ให้เห็นก็คือ ความไม่แน่ใจหรือความคิดด้านลบนั้นแหละที่ทำให้หลายคนไม่มีโอกาสรวย ก็อย่างที่ผมบอกไว้ การออกจากสนามแข่งหนูนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ความกลัวต่างหากที่ฉุดรั้งคุณไว้
3. ความขี้เกียจ เอาชนะได้ด้วย “ หัดโลภเข้าไว้ – ความต้องการ ”
4. อุปนิสัย ความกดดันจะกลายเป็นแรงจูงใจ
5. ความหยิ่งทะนงตน
**เริ่มต้นอย่างไรดีที่จะช่วยให้คุณมีพลัง การทำงานเพื่อเงินไม่ใช่เรื่องยาก แต่ใช้เงินทำงานแทนเรานั้นยาก
1. พลังใจ ( เพื่อเอาชนะความจริงที่ขวางหน้า ) ผมไม่อยากทำงานไปตลอดชีวิต ผมไม่ชอบเป็นลูกจ้าง ผมอยากมีอิสระ มีเวลา มีชีวิตเป็นของตนเอง ผมอยากให้เงินทำงานรับใช้ผม ทั้งหมดนี้คือพลังคือ ความต้องการอันแรงกล้าของผม ถ้าพลังของคุณยังไม่แรงกล้า หนทางแห่งความเป็นจริงข้างหน้าของคุณยังอีกยาวไกล ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากจนทำไม่ได้ แต่ถ้าขาดพลังใจ อะไรๆในชีวิตก็กลายเป็นเรื่องยากไปหมด
2. เสรีภาพในการเลือก คุณต้องจำกัดความฉลาด ความเชื่อในตัวคุณออกเสียก่อนเพื่อเปิดใจให้กว้าง และฟังความคิดของเขา คนที่คิดว่าตนเองฉลาดแล้วเก่งแล้วอีกมุมหนึ่งก็คือคนไม่กล้าเสี่ยง กลัวความผิดพลาด แต่อย่าลืมว่าเมื่อคุณเรียนสิ่งใหม่ คุณต้องกล้าที่จะทำผิด เพราะความผิดพลาด ทำให้คุณเรียนรู้ ได้ดีที่สุด ถ้าคุณอ่านมาจนถึงหน้านี้ แสดงว่าคุณไม่ใช่คนประเภทที่คิดว่าข้าแน่ มีคนจำนวนมากที่คิดว่าตนเองฉลาดก็เลยทำหยิ่งผยองว่าข้านี้ยอดเยี่ยม ผลออกมากลายเป็นความล้มเหลวเอาตัวไม่รอด คนฉลาดที่แท้จริงมักจะชอบฟังความคิดเห็นคนอื่นด้วยใจเปิดกว้าง พร้อมที่จะนำความคิดจากหลายๆด้านมาวิเคราะห์ประกอบเป็นความคิดใหม่ การฟังเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าพูด
3. เลือกคบเพื่อนด้วยความระมัดระวัง ( ประโยชน์จากเครือข่าย ) คนมีเงินมักคุยแต่เรื่องเงินๆทองๆเรื่องการลงทุน เศรษฐกิจ คำเตือน อย่าสนใจคำพูดของเพื่อนที่ไม่มีเงิน และเพื่อนที่ชอบคิดด้านลบแม้เขาจะเป็นเพื่อนที่ดีมากแค่ไหนก็ตาม คนพวกนี้จะบอกคุณเสมอว่า “เป็นไปไม่ได้”
4. สร้างสูตรและเรียนสูตรใหม่ๆ ( ประโยชน์จากเครือข่าย ) สูตรเดียวที่โรงเรียนสอนเรื่องเงิน คือ “ทำงานเพื่อเงิน”
5. ชำระหนี้ให้ตัวเองเป็นอันดับแรก ( ประโยชน์จากการเรียนให้เร็วที่สุด ) หากคุณไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ คุณไม่มีโอกาสรวย ถ้าควบคุมตัวเองไม่ได้ แม้มีเงินคุณก็จ่ายหมด ใน 10 ข้อ ข้อนี้ทำยากที่สุด แต่เป็นข้อที่แยก คนจนกับคนรวยออกอย่างชัดเจน ถ้าคุณไม่มีความอดทน ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง คุณไม่มีทางรวยได้ เหมือนพ่อรวยเคยสอนผมว่า “ โลกจะผลักเธอไปมาหากเธอไม่มั่นคงพอ ”
**3 ทักษะสำคัญสำหรับการเริ่มทำธุรกิจของตนเอง**
1. การบริหารกระแสเงินสด
2. การบริหารบุคลากร
3. การบริหารเวลา
– คนที่จ่ายให้คนอื่นอันดับแรก ( ลงท้ายมักไม่เหลืออะไร ) แม้ผมจะจ่ายตัวเองก่อน ผมก็จะพยายามๆไม่มีหนี้มาก โดยเฉพาะหนี้จากการบริโภค
กฎข้อที่ 1 ของการชำระหนี้ให้ตัวเองอันดับแรกก็คือ อย่าก่อหนี้ ผมจ่ายหนี้คนอื่นที่หลัง แต่ผมพยายามมีหนี้ให้น้อยที่สุด เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น
กฎข้อที่ 2 แม้ผมจะขาดเงิน ผมก็ยังชำระให้ตัวเองก่อน ปล่อยให้เจ้าหนี้โวยวายไป เพราะพวกเขาจะชวยให้ผมขยันขึ้น ขวนขวายมากขึ้น เพื่อที่จะหาเงินมาชำระหนี้ให้ได้ ผมจ่ายให้ตัวเอง ลงทุน และปล่อยเจ้าหนี้โวยวายผมไม่เคยผิดนัด เครดิตเราดีตลอดมา เพียงแต่ผมไม่ยอมให้ใครมากกดดันให้ผมต้องขายหุ้น หรือเอาเงินลงทุนมาชำระหนี้พวกเขาก่อนซึ่งไม่ใช่วิธีที่ฉลาดเลย
คำตอบก็คือ
1. อย่าก่อหนี้จำนวนมากเกินไป จำกัดรายจ่ายให้น้อยลง ขยายช่องทรัพย์สิน จากนั้นค่อยซื้อรถ – ซื้อบ้าน ติดอยู่ในสนามแข่งหนูไม่ใช่เรื่องฉลาดสักนิด
2. ถ้าเงินขาดมือ อ้าแขนรับความกดดันที่เกิดขึ้น แต่อย่าถอนเงินสดหรือขายหุ้น ใช้ความกดดันนั้นให้เป็นประโยชน์ ช่วยให้เกิดความคิดในการทำเงินเพื่อมาชำระหนี้ สร้างความคิด ความสามารถใหม่ๆ และเพิ่มไหวพริบทางการเงินให้แก่ตัวเอง เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ผมเดือดร้อนทางการเงิน ผมก็ยังคงยืนหยัดและปกป้องช่องทรัพย์สินเท่าชีวิต นิสัยไม่ดีที่คนไม่รวยส่วนมากชอบทำคือ การแคะกระปุกแล้วเอาเงินออมมาชำระหนี้ คนรวยเท่านั้นที่รู้ว่าเงินออมมีไว้เพื่อขยายช่องทรัพย์สินไม่ใช่จ่ายหนี้ หาสูตรสำเร็จที่เหมาะกับสถานการณ์ของคุณ อย่างแรกคือ พยายามลดรายจ่าย ฝากธนาคาร
6. เลี้ยงนายหน้าของคุณให้ดี ( ประโยชน์จากคำแนะนำที่ดี ) พ่อรวยสอนให้ผมดูแลนายหน้าเป็นอย่างดี ผมจ้างทนาย นักบัญชี นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ผมชอบให้นายหน้าของผม มีรายได้มากๆ เพราะนั้นหมายความว่าผมก็ได้เงินมากด้วย นายหน้าทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้คุณ เชื่อหรือไม่ว่าคนจำนวนมากให้ทิปพนักงาน 15-20 % ทั้งที่บริการไม่ประทับใจมากนัก แต่คนเหล่านี้กลับลังเลที่จะจ่ายค่านายหน้าเพียงร้อยละ 3-7 ทำไมคนเหล่านี้กลับลังเลที่จะจ่ายมากกว่าให้รางวัลคนในช่องทรัพย์สิน “ นี้เรียกว่าไม่มีไหวพริบทางการเงิน ” นายหน้าไม่เหมือนกันทุกคน อย่าลืมคำกล่าวที่ว่า “ ถ้าต้องการซึ้อสารานุกรมไว้ใช้ จงอย่าถามหาจากพนักงานขายสารานุกรม ” ทุกครั้งที่ผมสัมภาษณ์นักวิชาชีพที่ผมคิดจะจ้าง ผมจะถามก่อนเลยว่าเขาเป็นเจ้าของทรัพย์สินอะไรบ้าง พยายามหานายหน้าที่ คำนึงประโยชน์ของคุณพร้อมที่จะให้คำแนะนำและความรู้ เขาจะเป็นทรัพย์สินที่มีค่าสำหรับคุณ จงให้ความยุติธรรมแล้ว เขาจะให้คุณกลับเช่นเดียวกัน ถ้าคุณคิดแต่จะลดค่านายหน้า คงไม่มีใครอยากอยู่กับคุณนานๆ การบริหารคน ผู้บริหารบางคน ชอบบริหารคนที่ต่ำกว่าหรือฉลาดน้อยกว่า ผู้บริหารระดับกลางหลายคนไม่เคยได้เลื่อนตำแหน่งเพราะไม่รู้จักวิธีทำงานกับ คนที่สูงกว่า การบริหารคนที่ดีคือ รู้จักรักษาคนฉลาดหรือเก่งกว่าในบางเรื่องไว้ให้ได้
7. จงเป็นผู้ให้ ( ประโยชน์จากการได้เปล่า ) การทำตนเป็นผู้ให้ เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างช่องทรัพย์สิน นักลงทุนที่ฉลาดควรมองหาอะไรที่มากกว่าผลตอบแทนจากการลงทุน นั้นคือทรัพย์สินที่ได้หลังจากได้หลังจากได้เงินลงทุนคืนครบถ้วนแล้ว เช่น แมคโดนัลได้กำไรจากเบอร์เกอร์แล้ว ยังได้จากการขายแฟรนไชส์อีกด้วย คล้ายยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว
8. ทรัพย์สินซื้อความฟุ่มเฟือย ถ้าต้องล้มเหลวผมอยากให้เขาล้มตั้งแต่อายุยังน้อย หากคุณไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ คุณจะไม่มีโอกาสรวย สิ่งที่ทำยากที่สุดในการขยายช่องทรัพย์สินก็คือ การควบคุมตัวเอง เพราะภายนอกมีแต่สิ่งเย้ายวนต่างๆมากมาย ผมเองก็ชอบฟุ่มเฟือยเหมือนคนอื่นๆ จริงๆแล้ววิธีง่ายๆก็คือ โทรหานายแบงค์เพื่อขอกู้ แต่แทนที่จะคิดถึงการสร้างหนี้สินผมคิดถึงช่องทรัพย์สินอย่างเคย ผมใช้ความต้องการเป็นแรงกระตุ้นให้คิดวิธีหาเงินหรือลงทุนเพื่อให้ได้เงิน มากขึ้น ทุกวันนี้เรามักจะคิดถึงการกู้เงินมากกว่าการทำเงิน เพราะเป็นวิธีที่ง่ายกว่าในระยะสั้น แต่ยากกว่าในระยะยาว เป็นนิสัยไม่ดีที่ติดง่ายที่สุด อย่าลืมว่า ถนนที่วิ่งง่ายมักจะกลายเป็นยาก แต่ถนนที่วิ่งยากมักจะกลายเป็นง่ายในเวลาต่อมา ถ้าขาดไหวพริบทางการเงิน เงินจะฉลาดกว่าคุณเพราะมันจะทำให้คุณต้องทำงานเพื่อเงินไปตลอดชีวิต หากต้องการเป็นนาย เป็นผู้ควบคุมเงิน คุณต้องฉลาดกว่าเงิน หากคุณปล่อยให้เงินฉลาดกว่า คุณจะตกเป็นทาสของเงินไปตลอดชีวิต
9. ความจำเป็นต้องมีพระเอกในดวงใจ (ประโยชน์ของจินตนาการ) การเลียนแบบฮีโร่หรือคนที่เราชื่นชมบูชาให้พลังพิเศษแก่เรา เหมือนแรงดลใจที่ทำให้รู้สึกว่าไม่มีอะไรยากเกินไปสำหรับเรา ในเมื่อเขาทำได้เราก็ต้องทำได้
10. สอนผู้อื่นแล้วคุณจะได้รับตอบแทน ( อานิสงส์แห่งการให้ )
-พ่อ รวยสอนวิธีการดำเนินชีวิต และประโยชน์ของการให้การทำประโยชน์เพื่อสังคม พ่อนักวิชาการให้ทั้งความรู้ และเวลาแก่ผม แต่ไม่เคยให้เงินใคร
-พ่อ รวยให้ทั้งเงิน และความรู้ พ่อบอกว่าถ้าอยากได้รับต้องเริ่มที่การให้ แม้พ่อจะขาดเงิน แต่พ่อไม่เคยขาดการให้ พ่อให้เงิน วัด โบสถ์ องค์กรต่างๆเป็นการกุศลอยู่เสมอ ให้แม้คุณจะขาดเงินในมือ ให้ความรัก ความเป็นมิตรให้รอยยิ้ม ในบางขณะอาจทำยาก แต่เชื่อเถอะครับว่าได้ผลเสมอ เพราะผมเชื่อทฤษฎีของการให้และรับ ผมให้เพราะผมต้องการรับ เมื่อผมต้องการเงินผมเริ่มจากการให้ แล้วผมก็ได้รับกลับมาในจำนวนที่มากกว่า ผมต้องการขาย ผมเริ่มจากช่วยเพื่อนขาย และผมก็ได้รับตอบแทนมา ผมต้องการมีเครือข่าย ผมแนะนำให้คนโน้นรู้จักคนนี้ ในที่สุดผมก็มีเครือข่ายกับคนจำนวนมาก
-พ่อรวยบอกว่า “คนจนมักจะเห็นแก่ตัวกว่าคนรวย” เพราะคนรวยให้ในสิ่งที่คนอื่นต้องการ ตลอดชีวิตผมเมื่อขาดเงินหรือต้องความช่วยเหลือ ผมจะถามตัวเองว่าผมต้องการอะไรมากที่สุด และผมจะให้สิ่งนั้น ซึ่งในที่สุดผมก็จะได้มันกลับคืนมา ไม่ว่าจะเป็นเงิน ลูกค้า ความรัก ความสุข ธุรกิจ คุณต้องเริ่มด้วยการให้ ถ้าไม่มีใครยิ้มให้ผมผมจะยิ้มให้เขาก่อน ลองดูสิครับ รับรองว่าเขาจะยิ้มตอบคุณทันที “
-สอนผู้อื่นแล้วคุณจะได้รับกลับคืน ” ทุกครั้งที่ผมสอน ผมได้เรียนอะไรใหม่ๆเสมอ หากคุณต้องการรู้เรื่องเงิน สอนคนอื่นแล้วคุณจะรู้มากขึ้น หลายครั้งที่ผมให้แล้วไม่ได้รับสิ่งที่ผมต้องการตอบแทน เมื่อผมวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งจะได้พบว่า นั้นเป็นการให้เพื่อหวังผล ไม่ใช่เพื่อให้อย่างแท้จริง
-พ่อนักวิชาการเป็นครูสอนครู พ่อจึงได้เป็นครูใหญ่
-พ่อ รวยชอบสอนวิธีทำธุรกิจให้คนอื่น ทั้งคู่จึงได้สิ่งนั้นตอบแทน ในสัดส่วนที่มากขึ้นและดีขึ้นและดีขึ้นเรื่อยๆ มีพลังแอบแฝงอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลก คุณอาจต้องการต่อสู้แค่เพียงลำพังโดยไม่พึ่งใคร แต่มันไม่ง่ายกว่าหรือถ้าคุณรู้จักเอาพลังแอบแฝงนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพียงแค่รู้จักให้แล้วคุณก็จะได้รับจากพลังนั้นมากกว่าที่ให้ไปหลายเท่า
– ข้อควรทำ
1. หยุดทุกอย่าง วางมือจากสิ่งที่คุณทำสักพัก แล้วใคร่ครวญดูสิว่า อะไรที่ทำแล้วได้ผล และอะไรที่ทำแต่ไม่เคยได้ผล
2. มองหาความคิดใหม่ เช่นอาจเป็นตามหนังสือ
3. หาคนมีประสบการณ์หรือเคยลงทุนแบบที่คุณกำลังสนใจ เลี้ยงข้าวเขาสักมื้อ คุณจะได้ความรู้อีกมากมาย
4. สมัครเข้าสัมนาอบรมหรือเรียนพิเศษ
5. เสนอราคา คนขายส่วนมากตั้งราคาสูงกว่ามูลค่าจริงอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นข้อควรจำก็คือ เสนอราคา ถ้าไม่ใช่นักลงทุน คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่พยายามจะขายอะไรสักอย่างนั้นรู้สึกอย่างไร ให้มีคนสนใจเถอะ เรื่องราคาค่อยว่ากัน ต่อรองกันได้ เพราะนี้คือเกมอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นเสนอราคาเข้าไปเลยคุณอาจโชคดี
6. ผมมองหาคนต้องการซื้อก่อน
7. เรียนจากประวัติศาสตร์ บริษัทใหญ่ๆในตลาดล้วนเริ่มจากบริษัทเล็กๆ
8. ลงมือทำ
– ปัจจุบันทุกคนดำเนินชีวิตโดยใช้สูตรเดียวกัน “ ทำงานหนัก เก็บออม กู้ยืม และจ่ายภาษีจำนวนมาก ” เราต้องหาสูตรที่ดีกว่านี้ อย่าลืมว่าเงินก็คือความคิด ถ้าต้องการเงินมากขึ้นก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิด หลายคนที่ประสบความสำเร็จก็เริ่มจากความคิดเล็กๆ ที่กลายเป็นใหญ่ในเวลาต่อมา การลงทุนก็เช่นกัน เริ่มจากเงินจำนวนเล็กน้อยเติบโตเป็นก้อนใหญ่ขึ้น ผมเคยพบคนจำนวนมาก ที่ใช้เงินก้อนโตเพื่อหวังจะโชคดี คิดว่าที่เดียวเอาให้รวยไปเลย เหล่านี้ผมไม่ถือว่าเป็นนักลงทุนที่ดี การศึกษาและความรู้เรื่องเงินเป็นสิ่งสำคัญ เริ่มแต่เนินๆหาซื้อหนังสือมาอ่าน เข้าสัมนา ฝึกฝน เริ่มจากเงินจำนวนน้อยๆ
– เงินก็คือความคิดอันหนึ่ง มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เขาตั้งชื่อไว้ว่า “ คิดแล้วรวย “ ไม่ใช่ “ ทำงานหนักแล้วรวย “ พระเจ้าประทานของขวัญสองอย่างให้เรา คือ สมองและเวลา ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะใช้สองสิ่งนี้อย่างไร เงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์ที่คุณใช้ไป จะกำหนดชีวิตคุณ ใช้อย่างโง่เขลาแปลว่าคุณเลือกที่จะยากจน ใช้ซื้อหนี้สินแปลว่าคุณเลือกเป็นคนชั้นกลางคือไม่รวย แต่ถ้าใช้ซื้อวิชาเพิ่มความรู้ในการขยายช่องทรัพย์สิน คุณเลือกที่จะมีอนาคตอันมั่นคง ทุกวันที่คุณจ่ายคือการตัดสินใจว่าจะจนหรือจะมี เตรียมความพร้อมให้ลูกหลานด้วยการให้ ความรู้เรื่องการเงินแก่พวกเขา ชีวิตของคุณและลูกๆขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณเลือกในวันนี้ไม่ใช่พรุ่งนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น